นพวรรณ บัวทอง
นักจิตวิทยา ทัณฑสถานโรงพยาบาลฯ
ลักษณะของผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
1. เจตนาฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เช่น กินยาฆ่าแมลง ผูกคอ เชือดข้อมือ กระโดดตึก เป็นต้น
2. มีความตั้งใจฆ่าตัวตายชัดเจน เช่น
- ทำในสถานที่หรือเวลาที่ยากต่อการพบเห็นหรือช่วยเหลือ
- เตรียมการเรื่องทรัพย์สินจดหมายลาตาย
- เตรียมการเรื่องฆ่าตัวตาย เช่น หาซื้อยามาสะสมไว้
- ใช้วิธีการฆ่าตัวตายที่รุนแรง
3. เคยมีประวัติพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน จากสถิติพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ฆ่าตัวตายสำเร็จ เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนและการกระทำครั้งที่ 2 มักเกิดภายในเวลา 90 วัน หลังจากครั้งแรก นอกจากนี้ ผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน มีโอกาสจะทำได้สำเร็จมากกว่าผู้ที่ยังไม่เคยทำ
4. มีโรคทางกาย พบว่าโรคทางกายโรคใดโรคหนึ่งใน 3 โรคต่อไปนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้คิดฆ่าตัวตาย
- โรคที่รักษาไม่หาย โดยเฉพาะโรคเอดส์
- โรคทางกายระยะสุดท้าย เช่น มะเร็ง ไตวาย
- โรคที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน
5. โรคทางจิตเวช โรคใดโรคหนึ่งใน 4 โรคต่อไปนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้คิดฆ่าตัวตาย
- โรคซึมเศร้า (Major depressive disorder)
- โรคจิต (Psychosis) มีความหวาดระแวง หลงผิดคิดว่าคนปองร้าย หูแว่ว ประสาทหลอน
- ผู้ติดสุรา (Alcoholism) มักมีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีค่าเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ประกอบกับฤทธิ์ของสุราที่มีผลต่อสมอง เมื่อเผชิญปัญหาชีวิตอาจแก้ปัญหาดด้วยฆ่าตัวตายได้
- บุคลิกภาพผิดปกติ (Personality disorder) มักเป็นกลุ่มผู้มีอารมณ์อ่อนไหว ไม่มั่นคง หุนหัน หรือสนใจแต่ตนเองเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นทำให้คิดสั้นได้
ความต้องการด้านจิตใจของผู้คิดฆ่าตัวตาย
- ผู้คิดฆ่าตัวตายต้องการความเห็นอกเห็นใจ และต้องการผู้เข้าใจปัญหาและความรู้สึกของเขา แต่ไม่ต้องการถูกซ้ำเติมจากคนรอบข้าง
- ผู้คิดฆ่าตัวตายต้องการคนที่หวังดี ยินดีรับฟังและช่วยเหลืออย่างจริงใจ
- ผู้คิดฆ่าตัวตายต้องการระบายความทุกข์ออกมาทางใดทางหนึ่ง เช่น พูด เขียน ร้องไห้ หรือทำร้ายตนเอง
- ผู้คิดฆ่าตัวตายต้องการคนที่มีเวลาให้กับเขา ให้ความสนใจและเอาใจใส่ดูแล เนื่องจากเขาจะมีความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวมากกว่าปกติ
- กรณีผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น เรียกร้องความสนใจ วุ่นวาย หวาดระแวง แสดงถึงความต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเหตุผลของการกระทำนั้นๆ
แบบประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
รายการประเมิน | มี | ไม่มี |
1. มีเรื่องกดดันหรือคับแค้นใจหรือไม่ | ? | ? |
2. รู้สึกเป็นทุกข์จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ | ? | ? |
3. รู้สึกท้อแท้ เบื่อหน่ายสิ้นหวังหรือไม่ | ? | ? |
4. ขณะนี้มีความคิดฆ่าตัวตาย หรือหาวิธีฆ่าตัวตายหรือไม่ | ? | ? |
?ถ้าตอบ มี ในข้อ 1 หรือ 2 แสดงว่าอาจจะมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหรือเป็นโรคซึมเศร้า (ควรประเมินโรคซึมเศร้าตามแบบประเมินข้างล่าง)
ถ้าตอบ มี ในข้อ 3 หรือ 4 แสดงว่า มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง
แบบประเมินโรคซึมเศร้า
ส่วน ก รู้สึกหดหู่ใจ ไม่มีความสุข เศร้าหมองเกือบทุกวัน หรือเบื่อหน่าย ไม่อยากพบปะผู้คน |
มี | ไม่มี |
ส่วน ข 1. น้ำหนักลด 2. นอนไม่หลับเพราะคิดมาก กังวลใจ หรือตื่นบ่อย 3. วุ่นวายใจหรือรู้สึกเหนื่อยหน่าย ไม่อยากทำอะไร 4. รู้สึกอ่อนเพลียจนไม่มีแรงจะทำอะไร 5. รู้สึกหมดหวังในชีวิต ตนเองไม่มีคุณค่า 6. รู้สึกตนเองไม่มีสมาธิ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆได้ 7. มีความคิดเกี่ยวกับความตายหรือรู้สึกอยากตายบ่อยๆ |
? | ? |
ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้รับการประเมินรู้สึกหรือมีอาการต่อไปนี้บ้างหรือไม่
ถ้าตอบ มี ในส่วน ก และ มี ในส่วน ข จำนวน 1 - 2 ข้อหมายถึงมีภาวะซึมเศร้าควรให้คำปรึกษา
ถ้าตอบ มี ในส่วน ก และ มี ในส่วน ข ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไปหมายถึงมีภาวะซึมเศร้ามากให้ส่งพบแพทย์
ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ดูแลผู้เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย
- ควรมีผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเข้าห้องน้ำก็ควรอยู่ในสายตา
- เก็บของมีคม ยา หรือสิ่งของที่อาจทำร้ายตนเอง
- ถ้าต้องกินยาควรจัดให้กินที่ละมื้อ และเก็บซองยาไว้
- จัดให้อยู่ห้องพักชั้นล่าง ระมัดระวังการออกไปที่ระเบียง หรือหน้าต่าง ถ้าไม่มีลูกกรงป้องกัน
- ไม่พูดตำหนิประชดประชัน หรือพูดท้าทายให้ทำร้ายตนเองอีก
- สังเกตอารมณ์เศร้าจากสีหน้า ท่าทาง คำพูดสั่งลาหรือตัดใจได้และอารมณ์เศร้า ถ้าเปลี่ยนจากซึมเศร้าเป็นสดชื่นอย่างกระทันหัน ควรระมัดระวังมาก
- ถ้านอนไม่หลับ / กินอาหารได้น้อย หรืออารมณ์เศร้าไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ ควรพาไปพบแพทย์
- พาไปพบแพทย์หรือผู้ให้การปรึกษาตามนัดทุกครั้ง
การดูแลช่วยเหลือผู้ต้องขังที่มีพฤติกรรมฆ่าตัวตาย
- ให้การรักษาพยาบาลตามอาการที่พบ เช่น ทำแผล เย็บแผล ล้างท้อง เป็นต้น
- ถ้าส่งตัวกลับแดนควรแจ้งฝ่ายควบคุม ให้ช่วยกันเฝ้าระวังและป้องกันการฆ่าตัวตาย
- ในกรณีที่เอะอะโวยวายมากควรให้ยาสงบประสาทถ้าจำเป็น และพิจารณารับตัวไว้สังเกตอาการในสถานพยาบาล
- ถ้าไม่แน่ใจ หรือมีผู้ป่วยมีอาการรุนแรงเกินความสามารถในการช่วยเหลือ ควรแจ้งเรือนจำเพื่อขออนุญาตส่งต่อโรงพยาบาลภายนอก
- กรณีที่รับตัวไว้ในสถานพยาบาล ต้องปฏิบัติตาม Suicidal precaution และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจ โดยให้การรักษาภาวะทางจิตเวชตามคำสั่งแพทย์ เช่น ยาแก้เศร้าในผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้า หรือยาคลายกังวลในผู้ป่วยที่เครียดมากมีปัญหาในการปรับตัว ยารักษาโรคจิตในขนาดต่ำ อาจได้ผลช่วยควบคุมความยับยั้งชั่งใจ ในผู้ป่วยที่มีบุคลิกภาพแบบหุนหันพลันแล่น โดยให้ Perphenazine 4 มก. ต่อวันหรือ Haloperidol 1 มก. ต่อวัน ในผู้ป่วยบางรายที่มีความเสี่ยงสูง และปฏิเสธไม่ร่วมมือในการรักษาหรือก้าวร้าว ควรให้ผู้ป่วยสงบในช่วงแรกโดยฉีด Diazepam 5-10 มก.เป็นครั้งคราว
- ควรให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาของผู้ป่วย และควรหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยพยายามฆ่าตัวตาย
การดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในบางกรณี
กรณีผู้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างกระทันหัน
เช่น จากการมีสภาวะซึมเศร้าเปลี่ยนเป็นสดชื่นอย่างกระทันหัน หรือจากอาการก้าวร้าวเปลี่ยนเป็นสงบซึมเฉย เป็นภาวะที่ต้องระมัดระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นสภาวะที่แสดงถึงการตัดสินใจโดยเด็ดขาดที่จะฆ่าตัวตาย
กรณีผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้ามาก ไม่พูด ไม่รับประทานอาหาร หรือแยกตัวเอง
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง ถ้าผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้รักษาหรือผู้ดูแล ควรหมั่นเข้าไปพูดคุยในเรื่องที่ผู้ป่วยสบายใจเป็นระยะๆ
- จัดให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย อากาศถ่ายเทสะดวกไม่อยู่ในที่มุมอับ เพื่อช่วยลดภาวะเครียดของผู้ป่วยลง
- จัดอาหาร / ยา ให้ผู้ป่วยรับประทานตามเวลา โดยคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารให้ครบตามความต้องการของร่างกาย สะอาดย่อยง่าย หาเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ดื่มเพื่อจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น พร้อมทั้งอธิบายถึงประโยชน์ของการรับประทานอาหา รและยาให้ผู้ป่วยทราบ เพื่อโน้มน้าวให้ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการดูแลสุขภาพของตนเองเช่น บอกว่า ยาจะช่วยให้เขาดีขึ้น
กรณีผู้ป่วยก้าวร้าวและทำร้ายตัวเอง
- จัดสิ่งแวดล้อมให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีอุปกรณ์เครื่องใช้ที่อาจนำมาเป็นเครื่องมือในการฆ่าตัวตาย เช่น ภาชนะที่เป็นแก้ว แจกัน กระติกน้ำร้อน มีดปอกผลไม้ ส้อม เป็นต้น
- ขจัดและลดสาเหตุที่จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการก้าวร้าวมากขึ้น เช่น ควรจัดแยกให้ห่างจากผู้ป่วยที่มีอาการเอะอะโวยวายอยู่ไม่สุข หรือผู้รักษาเองก็ควรให้การดูแลผู้ป่วย ด้วยความนุ่มนวลไม่ทำเสียงดังรบกวนผู้ป่วย ดูแลไม่ให้ผู้ป่วย ถูกรบกวนจากบุคคลที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอารมณ์คลุ้มคลั่งได้ง่าย เช่น บุคคลที่ผู้ป่วยกำลังโกรธ เป็นต้น
กรณีผู้ป่วยหวาดระแวง กลัวผู้อื่นจะมาทำร้าย
- ผู้รักษาควรแนะนำตนเองให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นผู้รักษา และจะมาให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีความปลอดภัย
- การสนทนาในระหว่างผู้ดูแลรักษา ไม่ควรใช้เสียงหรือทำท่ากระซิบกระซาบ เพราะทำให้ผู้ป่วยระแวง
- ระหว่างการให้อาหารหรือยาแก่ผู้ป่วย ควรอธิบายให้ผู้ป่วยทราบว่ามีประโยชน์จะช่วยให้เขามีอาการดีขึ้น
กรณีที่ผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง
- ให้ผู้ป่วยกิจกรรมต่างๆที่ประเมินแล้วว่าผู้ป่วยทำได้
- พูดคุยเพื่อเสริมสร้างกำลังใจ
กรณีที่ผู้ป่วยเรียกร้องความสนใจจากผู้รักษามากเกินไป
- ระวังความรู้สึกในทางลบต่อผู้ป่วยของตนเอง หากแก้ไขไม่ได้ควรให้ผู้อื่นดูแลรับผิดชอบแทน
- ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยตามสมควรไม่มากจนเกินไป เน้นให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด
- คอยเสริมให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง เห็นความสามารถ และศักยภาพในการเป็นที่พึ่งของตนเอง